กรณีนายมารุต ชุ่มขุนทด ผู้สมัครนายก อบจ.โคราช ได้ยื่นเรื่องฟ้องต่อ‘ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง’โดยกล่าวว่า กกต.ส่วนกลาง, กกต.จังหวัดนครราชสีมา และ กกต.อบจ.โคราช รวม 15 คนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,157  และพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ศ2562 มาตรา 17,107, 119,126 การยื่นฟ้องดังกล่าว ได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมาก อันถือเป็นหลักการในการบังคับใจกฎหมาย ที่ละเมิดข้ามขั้นตอนมิได้

เรื่องนี้นายสุนทร แพงไพรี ผู้รับมอบอำนาจจากนายมารุต ชุมขุนทด  เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง กกต.ส่วนกลาง กกต.จังหวัดนครราชสีมารวมทั้ง กกต.ท้องถิ่น(อบจโคราช) รวม 15 คน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,157  และพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ศ2562 มาตรา 17,107,119,126 ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีที่ กกต.ทั้ง 15คน ได้ประกาศรับรองนางยลดา หวังศุภกิจโกศล ให้ดำรงแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา หลังการเลือกตั้ง ที่ผ่านพ้นการเลือกตั้งมาแค่ 25 วัน ทั้งๆที่มีเรื่องร้องเรียนจากผู้สมัครว่า มีการทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งด้วยการโอนงบประมาณ 23 ล้านบาท ในห้วงระเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยศาลอาญาทุจริตฯ ได้รับเรื่องไว้พิจารณาคดี

โดยเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ผู้พิพากษา(ขอสงวนนาม)”ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง” ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดี ที่นายสุนทร แพงไพรี ผู้รับอำนาจจากนายมารุต ชุ่มขุนทด โจทย์ผู้ยื่นฟ้อง ดำเนินคดีกับคณะกรรม การเลือกตั้ง(กกต.)15 คน จากส่วนกลาง รวมทั้ง กกต.จังหวัดนครราชสีมา และ กกต.อบจ.โคราช มีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 83,157 และความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น มาตรตรา 17,107, 119,126

ศาลได้พิเคราะห์คำฟ้องของโจทย์ในเบื้องต้น พบว่ายังไม่ครบถ้วนพอที่จะพิจารณาคดีได้ จึงมีคำสั่งให้โจทย์เพิ่มคำร้องตามประมวลกฏหมายวิธีการพิจารณาคดีความอาญามาตรา 158 และ พ.ร.บ.วิธีการพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 15วรรคหนึ่ง เพื่อให้คำฟ้องแจ้งชัดว่าจำเลยที่เป็น กกต.ทั้ง 15 คน มีพฤติกาารกระทำความผิดอย่างไร จึงอาศัยอำนาจตามกฏหมายข้างต้น สั่งให้โจทย์ได้แก้ไขและเพิ่มเติมคำฟ้องให้ครบถ้วน เพื่อง่ายแก่การพิจารณาคดี รวม3ประเด็นแห่งความผิด

นายสุนทร แพงไพรี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องการส่อกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง ของนางยลดา หวังศุภกิจโกศล ในการโอนงบประมาณไปตั้งจ่ายในรายการใหม่เป็นเงิน 23,873,918.00บาทเศษ จำนวน 87 รายการ โดยมี สอบ.จ.จำนวน 36คน ยกมือสนับสนุนอนุมัติ  อันเป็นการโอนงบประมาณ ภายใน 90วัน ก่อนวันลาออก ซึ่งเป็นกรณีต้องห้ามตามที่ กกต.ได้กำหนด โดยตนได้นำพยานหลักฐาน เอกสารต่างๆเข้าร้องเรียนมอบให้กับ กกต.กลาง มีนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ส่วนกลางเป็นผู้รับเรื่อง เมื่อวันที่ 3 มกราคม2568 หลังปิดการสมัครรับเลือกตั้ง

“ต่อมาตนทราบว่า กกต.กลาง ได้มอบหมายให้คณะกรรมการชุดสืบสวนและไต่สวน กกต.จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการ สรุปสำนวนให้เสร็จภายใน 90วัน แล้วส่งผลการสอบสวนและไต่สวนให้ กกต.ส่วนกลาง  หลังจากนั้น กกต.ส่วนกลางก็มิได้ทำอะไรอีก ทั้งที่รู้ข้อกฎหมาย และปฏิบัติตามระบียบของ กกต.ก็ถูกละเว้น แต่กลับมีการประกาศรับรองผลการเลือก ระยะเวลาห่างจากวันเลือกเพียง 25 วัน อันเป็นความของจำเลยที่ 1-10 เพราะมีการประกาศรับรองผู้ถูกร้องคือนางยลดาหวังศุภกิจโกศล ในขณะที่การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ

หลังการประกาศรับรองผล ตนและโจทย์จึงเขาไปติดตามผลของการร้องเรียน  จึงทราบว่า กกต.โคราช ได้มีหนังสือลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เรียกนางยลดา หวังศุภกิจโกศล และ สมาชิกสภา อบจ.ทั้ง36 คนที่ร่วมกันส่อทำผิดกฏหมายเลือกตั้งให้เข้ามารับข้อกล่าวหา ภายในวันที่18 กุมภาพันธ์ 2568 นอกจากนั้นยังได้มีการแต่งตั้งนายโกวินท์ เหินขุนทด ประธานสืบสวนและไต่สวน จากการไต่สวนสมาชิกสภา อบจ.โคราช ท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม)ได้ให้ปากคำว่า มีการประชุมสภาฯเพื่อการอนุมัติงบประมาณ 23.8ล้านบาท และมีการพูดจาโน้มน้าว “ขอให้ยกมือสนับสนุนญัตติงบประมาณดังกล่าว โดยอ้างว่าจะทำไปหาเสียงในเขตพื้นที่ของผู้สมัครนายกฯ”

นายสุนทรกล่าวต่อว่า จากพฤติกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น จำเลยที่ 1-15 ได้มีการประวิงเวลา การสอบสวนไต่สวน โดยมีการพิจารณาข้ามขั้นตอนของกฎหมาย อย่างรุกลี้รุกรน รีบเร่งประกาศรองผลการเลือกตั้ง และทำให้เชื่อได้มีความไม่ชอบมาพากล กับการรับรองผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ ให้กับนางยลดา หวังศุภกิจโกศล เข้าดำรงตำแหน่งนายก อบจ.โคราช โดยคำฟ้องทั้งหมดที่ทำขึ้น มีความยาวถึง 3 หน้ากระดาษครึ่ง เป็นรายละเอียดของพฤติกรรมแห่งคดีที่เกิดขึ้น รวมทั้งเอกสารและหลักฐานประกอบที่สำคัญครบครัน ที่ส่งไปยัง “ศาลคดีอาญาทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง” กรุงเทพมหานครฯ นับจากนี้ไป ก็จะเป็นเรื่องของศาลฯที่จะมีการพิจารณาอย่างยุติธรรมต่อไป

สำนักข่าว MC.news.com รายงานจากจังหวัดนครราชสีมา